ประสบการณ์ที่แตกต่าง(Discriminate accumulation,distinctive humankind)
Discriminate accumulation , distinctive
humankind.
- Khemigka-
“เพราะสิ่งที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน
ทำให้ทุกคนมีความเด่นเฉพาะแตกต่างกัน”
ทำให้ทุกคนมีความเด่นเฉพาะแตกต่างกัน”
“โอกาสที่ต่างกัน
ทำให้มนุษย์เติบโตแตกต่างกัน
ประสบการณ์ที่ต่างกัน
ทำให้มนุษย์เก่งแตกต่างกัน
อดีตที่ต่างกัน ทำให้ปัจจุบันแตกต่างกัน
การกระทำที่ต่างกัน
ทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน”
จะว่าไปแล้วในความเป็นมนุษย์นั้นมีทั้งสิ่งที่เหมือนกันและสิ่งที่แตกต่างกันทับซ้อนกันอยู่
หากแต่นิยามที่เรียกว่ามนุษย์หรือคนนั้นมีลักษณะทางกายวิภาคที่บ่งบอกเด่นชัด อาทิ หนึ่งศรีษะ สองตา สองหู หนึ่งจมูก หนึ่งปาก
สองแขน สองขา สิบนิ้ว ลำตัวตั้งตรง เป็นต้น
แต่ภายใต้การกำหนดลักษณะความเป็นมนุษย์
จะพบว่ามนุษย์แต่ละคนมีรูปลักษณะองค์ประกอบของลักษณะภายนอกที่ไม่เหมือนกัน
หรือถึงแม้ไม่ครบถ้วนหรือเกินก็เพียงเพื่อบ่งชี้ให้แต่ละคนมีคุณลักษณะเด่นที่แตกต่างกันเท่านั้น
หาใช่หมายความว่าใครดีกว่าใคร
หรือใครแย่กว่าใคร เพราะแก่นแท้จริงของความเป็นมนุษย์นั้นก็มีฐานจากคุณลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน
ที่น่าสนใจคือมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในสกุล
Homo
Sapiens ที่มีชีวิตอยู่ หากแต่มีลักษณะพิเศษ[1] คือมีสมองที่ใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัว
โดยเฉพาะสมองชั้นนอก สมองส่วนหน้า
และสมองกลีบขมับที่พัฒนาเป็นอย่างดี ทำให้มนุษย์สามารถให้เหตุผลเชิงนามธรรม
ใช้ภาษา พินิจภายใน (introspection)
แก้ปัญหาและสร้างสรรค์วัฒนธรรมผ่านการเรียนรู้ทางสังคม
ขีดความสามารถทางจิตใจของมนุษย์นี้ ประกอบกับการปรับตัวมาเคลื่อนไหวสองเท้าซึ่งทำให้มือว่างจัดการจับวัตถุได้
ทำให้มนุษย์สามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือได้ดีกว่าสปีชีส์อื่นใดบนโลกมาก
มนุษย์ยังเป็นสปีชีส์เดียวเท่าที่ทราบที่ก่อไฟและทำอาหารเป็น สวมใส่เสื้อผ้า
และสร้างสรรค์และใช้เทคโนโลยีและศิลปะอื่น ๆ การศึกษามนุษย์เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์
เรียกว่า มานุษยวิทยา
หากแต่บทความในครั้งนี้
ผู้เขียนขอตั้งสมมุติฐานที่บ่งชี้ถึงคุณลักษณะเด่นเฉพาะของมนุษย์ที่แตกต่างกัน
เพราะเส้นทางของมนุษย์ที่ประสบพบเจอแตกต่างกัน
และฐานความคิดของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผลลัพธ์ของแต่ละคนแตกต่างกัน
ผลลัพธ์ = การกระทำ (ความคิด
+ ประสบการณ์)
โดยผู้เขียนขอแบ่งเป็น
2
มิติ ที่ขับเคลื่อนให้แต่ละคนมีพฤติกรรมหรือการปฏิบัติที่เรียกว่าการกระทำแตกต่างกันไป
มิติแรก
ได้แก่ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ รสนิยม ความชอบส่วนบุคคล อาจเกิดจากพันธุกรรม ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งความทรงจำหรือพรสวรรค์ที่ติดมาโดยไม่รู้ตัว
(อันนี้ผู้เขียนไม่สามารถบ่งชี้ชัดเพราะไม่สามารถมีตัวชี้วัดได้)
มิติที่สอง
ได้แก่ ประสบการณ์ และบทเรียนที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าแต่ละคนได้รับประสบการณ์ในชีวิตไม่เหมือนกันทั้งหมด
แม้กระทั่งฝาแฝดก็ตาม เพราะแต่ละคนล้วนต่างมีช่วงเวลาและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่แตกต่างกัน
ผู้เขียนขอมองประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับว่าเป็นโอกาสในทุกช่วงขณะเวลาของชีวิต
ที่สะท้อนสู่บทเรียนการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกันและไม่สามารถเทียบกันได้เลย และนั่นเป็นเหตุให้แต่ละคนมีคุณลักษณะพิเศษหรือมีความโดดเด่นแตกต่างกัน
เราไม่สามารถเทียบประสบการณ์ของใครคนหนึ่งว่าเก่งกว่าอีกคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง
เพราะแต่ละคนล้วนมีประสบการณ์เฉพาะด้าน สิ่งแวดล้อมและโอกาสที่ได้รับและสะสมมาไม่เหมือนกัน
เพราะหากจะเทียบกันอย่างยุติธรรมก็ควรวัดที่ฐานการเริ่มต้นของการเรียนรู้ ประสบการณ์
สิ่งแวดล้อม และระยะเวลาสะสมที่เหมือนกัน
“ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบใด...
เราต้องกระทำให้สอดคล้องกับผลลัพธ์แบบนั้น
ถ้าเราต้องการให้อนาคตเป็นเช่นใด...
เราต้องสร้างปัจจุบันให้เป็นเช่นนั้น
ถ้าเราต้องการเก่งด้านใด...
เราต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับความเก่งด้านนั้น
ถ้าเราต้องการแตกต่างจากเดิมมากเพียงใด...
เราต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองมากเพียงนั้น”
-Simple Today-
6 มกราคม 2563
“Experience is
the teacher of all things. ”
“ประสบการณ์คือครูของทุกสิ่งอย่าง”
-Julius Caesar-
“Every
experience in your life is being orchestrated to teach you something you need
to know to move forward.”
“ทุกประสบการณ์ในชีวิตเสมือนบทเพลงประพันธ์
เพื่อสอนบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่อให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า
เพื่อสอนบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่อให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า
-Brian Tracy-
#SimpleToday
#BeReal,BeYou
#ประสบการณ์ที่แตกต่าง
#DistinctiveHumankind
เครดิตภาพเบื้องหลังคำคม :
https://www.google.com/search?as_st=y&tbm=isch&as_q=seed&as_epq=&as_oq=&as_eq=&cr=&as_sitesearch=&safe=images&tbs=sur:fmc#imgrc=_
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น