ทุกสิ่งมี 2 ด้าน (Everything has two sides.)


Everything has two sides,
it depends on what you pick up.
- Khemigka-

“ทุกสิ่งมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกด้านใด”


“ในดีมีไม่ดี...ในไม่ดีมีดี
ในถูกมีผิด...ในผิดมีถูก
ในได้มีเสีย...ในเสียมีได้
ในรักมีชัง...ในชังมีรัก
ในชนะมีแพ้...ในแพ้มีชนะ
ในขาวมีดำ...ในดำมีขาว”
         
ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ว่าสามารถแยกได้ชัดเจนหรือไม่ ในมุมมองของผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในการชี้เฉพาะหรือฟันธงออกมาได้ เพราะทุกสิ่งที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัส หรือได้รู้สึกต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับมุมมองหรือการตีความที่เราใส่ความหมายต่อสิ่งนั้น ซึ่งผู้เขียนขอแบ่งเป็น 3 มุมมอง คือ
1. มุมมองของตัวเราเอง
2. มุมมองของผู้อื่น
3. มุมมองความเป็นจริง
1. มุมมองของตัวเราเอง หมายถึง การตีความของสิ่งต่าง ๆ จากความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ที่เราให้ค่าต่อสถานการณ์และสิ่งต่างนั้นเป็นอย่างไร  อันส่งผลสู่การปฏิบัติ และการตอบสนอง ขึ้นอยู่กับ :
1. ค่านิยม หรือสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติ เพื่อหล่อหลอมให้เราเป็นตัวตนคนปัจจุบัน
2. ประสบการณ์ คือการอ้างอิงจากอดีตที่เราให้ค่าต่อสถานการณ์และสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงสู่การเลือกหรือตัดสินใจในปัจจุบันอย่างไร
3. สังคม วัฒนธรรม สภาวะแวดล้อม ที่เราใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อกำหนดคุณค่าอ้างอิงตามกรอบที่เลือกไว้
2. มุมมองของผู้อื่น  หมายถึง สิ่งที่ผู้อื่นแสดงต่อสิ่งต่าง ๆ จากการตีความผ่านความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ที่เขาให้ค่าต่อสถานการณ์และสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร   อันนำผลสู่การปฏิบัติ เหมือนกับที่เรามีมุมมองและตีความต่อสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกัน (ในข้อ 1)
3. มุมมองของความเป็นจริง หมายถึง สิ่งต่าง ๆ เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่จีรังยั่งยืนเป็นปกติอยู่แล้ว หากแต่เราจะให้ค่าอย่างไรนั้นขึ้นกับสมมุติที่แต่ละคนตั้งไว้  (ผู้เขียนขออ้างอิงจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่อง อนิงจัง ทุกขัง อนัตตา ประกอบนะคะ)
อย่างไรก็ตามในมุมมองผู้เขียนยังมีความเชื่ออยู่ว่า การจำกัดความของคำว่าความดี ความไม่ดี , ความถูก ความผิด , การได้ การเสีย ,ความรัก ความชัง, การชนะ การแพ้, ขาว ดำ นั้นมีการตีความหมายแต่ละด้านออกมาอยู่แล้ว  หากแต่บทความที่ผู้เขียนต้องการสื่อคือ มุมมองต่อผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากตัวเราเองเป็นผู้เลือกและตอบสนองต่อการตีความนั้น ๆ อย่างไร  และเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เราเลือกต่อการตอบสนองนั้น
ผู้เขียนขอยกหลักธรรม สิ่งที่ได้อ่านและฟังเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจจากบุคคลที่ผู้เขียนติดตามไว้หลายท่าน รวมกับสิ่งที่ผู้เขียนคิดไว้เพื่อเป็นมุมมองเพิ่มเติมมาฝากผู้อ่านนะคะ
(ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้ยกชื่ออ้างอิงเนื่องจากมีคนที่ผู้เขียนติดตามอ่านและฟังจำนวนมากรวม ๆ กัน ซึ่งขอขอบคุณสำหรับการผลิตสื่อดี ๆ มาเผยแพร่สร้างแรงบันดาลใจเรื่อย ๆ นะคะ)
1. สิ่งนั้นทำแล้วดีต่อตัวเราหรือไม่ หมายถึง ทำแล้วสามารถยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นได้หรือไม่
2. สิ่งนั้นทำแล้วดีต่อผู้อื่นหรือไม่  หมายถึง สิ่งที่คิดและปฏิบัตินั้นสร้างความเดือนร้อนหรือเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ คนอื่นได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราทำหรือไม่
3. สิ่งนั้นมีความเป็นธรรมหรือไม่ หมายถึง เรายุติธรรมจริงหรือไม่ เลือกปฏิบัติต่อแต่ละคนอย่างเท่าเทียมบนพื้นฐานความเป็นธรรมหรือไม่ การให้โอกาสและสิทธิเท่าเทียมกันหรือไม่  (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการแบ่งสิ่งของต่าง ๆ ให้เท่ากัน แต่ผู้เขียนหมายถึงด้านสิทธิและโอกาสที่ควรจะได้รับของแต่ละคน)
4. สิ่งนั้นทำแล้วสร้างคุณค่าและเป็นประโยชน์หรือไม่  หมายถึงสิ่งที่เราทำนั้นสร้างให้เกิดคุณค่า การพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงในด้านบวกหรือดีขึ้นหรือไม่
ตราบใดที่นิยามหรือหลักการของสิ่งต่าง ๆ คงยังมีอยู่  มุมมองหรือการตีความของสิ่งต่าง ๆ ก็คงยังมีอยู่ การเลือกตอบสนองและปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ก็คงยังมีอยู่ และนั่นก็หมายถึงผลลัพธ์ที่สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นก็คงยังมีอยู่เช่นกัน

          -Simple Today-
29 กันยายน 2562

We have two eyes to see two sides of things , but there must be a third eye which will see everything at the same time and yet not see anything.
That is to understand Zen”
- D.T. Suzuki -

#SimpleToday
#BeReal,BeYou
#ทุกสิ่งมี2ด้าน
#เหรียญ2ด้าน
#หยินหยาง
#ZenQuotes

เครดิตภาพเบื้องหลังคำคม :

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น (Respect yourself & others)

คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต (The Value of Life)

การสร้างมุมมองที่ชัดเจนโดยการปลดล็อกตัวเอง (Improve Ourselves,Unlock Ourselves,Authentic Ourselves)